ไขมันพอกตับ – ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
ไขมันพอกตับ คือหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมรับประทานอาหารไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย หรือมีโรคประจำตัวอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในตับอาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่สามารถพัฒนาไปเป็นโรคตับร้ายแรง เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้กระทั่งมะเร็งตับได้โดยไม่รู้ตัว การทำความเข้าใจว่าไขมันพอกตับคืออะไร สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษา สุขภาพตับ ให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคในอนาคตไขมันพอกตับ (Fatty Liver) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในเซลล์ตับมากเกินไป ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่โรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้กระทั่งมะเร็งตับในระยะยาว โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ
-
ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (AFLD) คืออะไร?
ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease: AFLD) คือภาวะที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จนทำให้ตับไม่สามารถเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับ หากไม่ได้รับการดูแลหรือหยุดดื่ม อาจพัฒนาไปสู่ ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) และ ตับแข็ง (Cirrhosis) ได้ในระยะยาว คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำแม้จะไม่รู้สึกเจ็บป่วยในระยะแรก ก็อาจมีไขมันสะสมในตับโดยไม่รู้ตัว การลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันและฟื้นฟูตับ
-
ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (NAFLD) คืออะไร?
ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease: NAFLD) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในตับเกิน 5–10% โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ โดยมักสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับ เมตาบอลิซึม เช่น
- โรคอ้วน (Obesity)
- เบาหวานชนิดที่ 2
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- ไขมันในเลือดสูง (Triglyceride สูง)
NAFLD เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนที่มีน้ำหนักเกินหรือใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่ง และกำลังกลายเป็นสาเหตุหลักของโรคตับในหลายประเทศทั่วโลก แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ปรับพฤติกรรม อาจลุกลามไปเป็น ตับอักเสบจากไขมัน (NASH) ซึ่งสามารถพัฒนาเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้เช่นกัน
สาเหตุหลักของไขมันพอกตับ
- การบริโภคอาหารไขมันสูง/น้ำตาลสูง อาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ของหวาน และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง ล้วนเป็นตัวกระตุ้นการสะสมไขมันในตับ
- ขาดการออกกำลังกาย เมื่อร่างกายไม่เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ไขมันจะถูกสะสมในรูปแบบต่างๆ รวมถึงที่ตับ
- ดื่มแอลกอฮอล์ ตับเป็นอวัยวะที่ใช้ในการกำจัดแอลกอฮอล์ เมื่อรับเข้าไปมากเกินไปตับจะอักเสบและสะสมไขมันได้ง่าย
- โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีโรคเรื้อรังเหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการเกิดไขมันพอกตับสูงกว่าคนทั่วไป
อาการของไขมันพอกตับ
ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้หลายคนละเลย แต่เมื่อเริ่มมีการอักเสบหรือพัฒนาเป็นโรคตับ อาจพบอาการ เช่น
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- จุกแน่นบริเวณชายโครงขวา
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ตัวเหลือง ตาเหลือง (ในกรณีที่พัฒนาไปเป็นตับอักเสบรุนแรง)
วิธีการวินิจฉัย
แพทย์จะใช้วิธีต่างๆ เช่น
- การตรวจเลือด เพื่อตรวจค่าการทำงานของตับ
- อัลตราซาวด์ช่องท้อง เพื่อดูการสะสมของไขมัน
- Fibroscan เครื่องวัดความแข็งและความหนาแน่นของตับ
- ตรวจชิ้นเนื้อตับ (กรณีจำเป็น)
วิธีดูแลและรักษาไขมันพอกตับ
- ปรับพฤติกรรมการกิน ลดอาหารไขมันสูง น้ำตาล ของทอด และเพิ่มผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3–5 วัน ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป
- ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย หากมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนัก 5-10% สามารถช่วยลดระดับไขมันในตับได้อย่างมีนัยสำคัญ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาที่ทำร้ายตับ
- ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึงการตรวจค่าการทำงานของตับ
สรุป
ไขมันพอกตับเป็นโรคที่ “ไม่มีอาการในช่วงแรก” แต่ส่งผลร้ายแรงในระยะยาว การดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคตับ และยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ที่ facebody มีวิตามินสูตรพิเศษ Liver Detox Lite ล้างพิษตับแบบเร่งด่วน ใช้เวลาเพียง 45 นาทีสำหรับผู้มีเวลาน้อย สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาค่ะ facebody เราเชี่ยวชาญด้านสุขภาพมามากกว่า 18 ปี