facebody Wellness ให้คำปรึกษาและดูแลทุกเคส โดย แพทย์ Anti-Anging ประสบการณ์มากกว่า 10 ปี

หมวดหมู่: anti-aging

  • ไขมันพอกตับ Fatty Liver

    ไขมันพอกตับ Fatty Liver

    ไขมันพอกตับ – ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม


               ไขมันพอกตับ คือหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมรับประทานอาหารไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย หรือมีโรคประจำตัวอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในตับอาจไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่สามารถพัฒนาไปเป็นโรคตับร้ายแรง เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้กระทั่งมะเร็งตับได้โดยไม่รู้ตัว การทำความเข้าใจว่าไขมันพอกตับคืออะไร สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษา สุขภาพตับ ให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคในอนาคตไขมันพอกตับ (Fatty Liver) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในเซลล์ตับมากเกินไป ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่โรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้กระทั่งมะเร็งตับในระยะยาว โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

    • ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (AFLD) คืออะไร?

              ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease: AFLD) คือภาวะที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จนทำให้ตับไม่สามารถเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับ หากไม่ได้รับการดูแลหรือหยุดดื่ม อาจพัฒนาไปสู่ ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) และ ตับแข็ง (Cirrhosis) ได้ในระยะยาว คนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำแม้จะไม่รู้สึกเจ็บป่วยในระยะแรก ก็อาจมีไขมันสะสมในตับโดยไม่รู้ตัว การลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันและฟื้นฟูตับ

    • ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (NAFLD) คืออะไร?

              ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease: NAFLD) คือภาวะที่มีไขมันสะสมในตับเกิน 5–10% โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ โดยมักสัมพันธ์กับโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับ เมตาบอลิซึม เช่น

    • โรคอ้วน (Obesity)
    • เบาหวานชนิดที่ 2
    • ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
    • ไขมันในเลือดสูง (Triglyceride สูง)

    NAFLD เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนที่มีน้ำหนักเกินหรือใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่ง และกำลังกลายเป็นสาเหตุหลักของโรคตับในหลายประเทศทั่วโลก แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ปรับพฤติกรรม อาจลุกลามไปเป็น ตับอักเสบจากไขมัน (NASH) ซึ่งสามารถพัฒนาเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้เช่นกัน


    สาเหตุหลักของไขมันพอกตับ

    • การบริโภคอาหารไขมันสูง/น้ำตาลสูง อาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ของหวาน และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง ล้วนเป็นตัวกระตุ้นการสะสมไขมันในตับ
    • ขาดการออกกำลังกาย เมื่อร่างกายไม่เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ไขมันจะถูกสะสมในรูปแบบต่างๆ รวมถึงที่ตับ
    • ดื่มแอลกอฮอล์ ตับเป็นอวัยวะที่ใช้ในการกำจัดแอลกอฮอล์ เมื่อรับเข้าไปมากเกินไปตับจะอักเสบและสะสมไขมันได้ง่าย
    • โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีโรคเรื้อรังเหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการเกิดไขมันพอกตับสูงกว่าคนทั่วไป

    อาการของไขมันพอกตับ

               ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้หลายคนละเลย แต่เมื่อเริ่มมีการอักเสบหรือพัฒนาเป็นโรคตับ อาจพบอาการ เช่น

    • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
    • จุกแน่นบริเวณชายโครงขวา
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • ตัวเหลือง ตาเหลือง (ในกรณีที่พัฒนาไปเป็นตับอักเสบรุนแรง)

    วิธีการวินิจฉัย

    แพทย์จะใช้วิธีต่างๆ เช่น

    • การตรวจเลือด เพื่อตรวจค่าการทำงานของตับ
    • อัลตราซาวด์ช่องท้อง เพื่อดูการสะสมของไขมัน
    • Fibroscan เครื่องวัดความแข็งและความหนาแน่นของตับ
    • ตรวจชิ้นเนื้อตับ (กรณีจำเป็น)

    วิธีดูแลและรักษาไขมันพอกตับ

    • ปรับพฤติกรรมการกิน ลดอาหารไขมันสูง น้ำตาล ของทอด และเพิ่มผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง
    • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3–5 วัน ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป
    • ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย หากมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนัก 5-10% สามารถช่วยลดระดับไขมันในตับได้อย่างมีนัยสำคัญ
    • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาที่ทำร้ายตับ
    • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึงการตรวจค่าการทำงานของตับ

    สรุป

               ไขมันพอกตับเป็นโรคที่ “ไม่มีอาการในช่วงแรก” แต่ส่งผลร้ายแรงในระยะยาว การดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคตับ และยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ที่ facebody มีวิตามินสูตรพิเศษ Liver Detox Lite ล้างพิษตับแบบเร่งด่วน ใช้เวลาเพียง 45 นาทีสำหรับผู้มีเวลาน้อย สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาค่ะ facebody เราเชี่ยวชาญด้านสุขภาพมามากกว่า 18 ปี

  • ภูมิแพ้อากาศ Allergic Rhinitis

    ภูมิแพ้อากาศ Allergic Rhinitis

    ภูมิแพ้อากาศเป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองผิดปกติต่อสิ่งแปลกปลอมในอากาศ ซึ่งมักจะเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง ละอองเกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ เชื้อรา หรือสารเคมีบางประเภท ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ ภูมิแพ้อากาศไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ที่มีอาการแพ้ได้อย่างมาก

    สาเหตุของภูมิแพ้อากาศ

    1. ฝุ่นละออง: ฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศสามารถเป็นแหล่งที่มาก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง
    2. เกสรดอกไม้: ฤดูกาลการออกดอกของต้นไม้ต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ มักจะปล่อยละอองเกสรที่สามารถแพร่กระจายในอากาศและทำให้เกิดการแพ้ในคนที่ไวต่อสิ่งเหล่านี้
    3. เชื้อรา: เชื้อราสามารถเติบโตได้ในสภาพอากาศชื้นและเปียก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้คนในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือในช่วงฤดูฝนมีอาการภูมิแพ้ได้ง่าย
    4. ควันบุหรี่และมลพิษ: ควันจากบุหรี่และมลพิษจากยานพาหนะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่สามารถกระตุ้นอาการภูมิแพ้ในผู้ที่มีความไวต่อสารเคมีในอากาศ

    อาการของภูมิแพ้อากาศ

    อาการของภูมิแพ้อากาศมักจะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจและตา เช่น:

    • จามและน้ำมูกไหล
    • คัดจมูกและมีอาการหายใจลำบาก
    • ตาแดง คัน และมีน้ำตาไหล
    • ไอและหอบหืดในบางกรณี

    ในบางกรณี อาการเหล่านี้อาจมีความรุนแรงจนทำให้การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบาก

    วิธีการจัดการกับภูมิแพ้อากาศ

    1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้: การหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจกระตุ้นอาการแพ้ เช่น การอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองหรือควันบุหรี่ หรือการหลีกเลี่ยงการเดินในที่ที่มีละอองเกสรมากในช่วงฤดูกาล
    2. การใช้เครื่องฟอกอากาศ: การใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้านหรือในห้องนอนเพื่อช่วยลดฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ
    3. การทำความสะอาดบ้าน: การทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเช็ดฝุ่นและการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเพื่อช่วยลดการสะสมของฝุ่น
    4. การใช้ยา: หากอาการแพ้รุนแรง การใช้ยาต้านฮิสตามีนหรือยาพ่นจมูกที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
    5. ปรึกษาแพทย์: ในกรณีที่อาการภูมิแพ้ไม่ดีขึ้น หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

  • ภูมิแพ้หน้าฝน

    ภูมิแพ้หน้าฝน

    ภูมิแพ้หน้าฝน มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นกะทันหัน อาจรุนแรงขึ้นได้จากการสูดดมสารระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่และไอเสียรถยนต์ น่าเสียดายที่ผู้มีอาการจำนวนมากมักหันมาใช้ยารักษาด้วยตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้องและอาจเป็นอันตรายต่อเยื่อจมูก

    วิธีการดูแลตนเองในการรักษาภาวะนี้

    อาการของโรค ภูมิแพ้หน้าฝน

    เกิดจากการสัมผัสกับปัจจัยกระตุ้น ซึ่งรวมถึงความผันผวนของอุณหภูมิและความชื้น อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น จาม คัดจมูก น้ำมูกไหลหรือคันจมูก และรู้สึกไม่สบายคอ บางรายอาจมีอาการคัน แสบตา หรือมีเสียงดังในหู

    การแยกแยะระหว่างโรคภูมิแพ้ในฤดูฝนและโรคไข้หวัดเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่โรคหวัดมักนำมาซึ่งความคัดจมูกและน้ำมูกใสถึงข้น แต่ก็ไม่มีอาการคันจมูกที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคภูมิแพ้ โรคหวัดมักจะหายไปภายใน 3-10 วัน ซึ่งแตกต่างจากโรคภูมิแพ้ซึ่งอาจคงอยู่นานกว่าสองสัปดาห์

    การดูแลตนเองสำหรับโรคภูมิแพ้หน้าฝน

    • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้: ป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงโดยอยู่ห่างจากน้ำหอม กลิ่นแรง ควันบุหรี่ และสารระคายเคืองอื่นๆ นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นอย่างกะทันหัน
    • รักษาสภาพแวดล้อมที่สะอาด: ทำความสะอาดพื้นที่อยู่อาศัยของคุณเป็นประจำ โดยเฉพาะห้องนอน เพื่อลดฝุ่นละออง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนสัปดาห์ละสองครั้ง เพื่อลดการสะสมของฝุ่น การระบายอากาศที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้
    • จัดลำดับความสำคัญของการนอนหลับ: ให้แน่ใจว่าคุณได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพราะการนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเติมพลังให้กับร่างกายของคุณ
    • การรับประทานอาหารที่สมดุล: บริโภคอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยอาหารทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ผัก และผลไม้ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันของคุณ
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการใช้ยาที่เหมาะกับอาการของคุณ เนื่องจากการใช้ยาด้วยตนเองอาจเป็นอันตรายต่อเยื่อจมูก

    การจัดการโรคภูมิแพ้หน้าฝน

    ในช่วงฤดูฝน สารก่อภูมิแพ้ เช่น เชื้อราและโรคราน้ำค้างจะเจริญเติบโตได้ดีเนื่องจากความชื้นที่เพิ่มขึ้น ไรฝุ่นยังแพร่พันธุ์ได้ในสภาพที่ชื้น ในขณะที่พืชบางชนิดปล่อยละอองเกษรระหว่างหรือหลังฝนตก ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ อาการทั่วไปได้แก่ อาการจาม น้ำมูกไหลหรือคัดจมูก คันตา ไอ ผื่นที่ผิวหนัง และอ่อนเพลีย

    เคล็ดลับการดูแลตนเองสำหรับโรคภูมิแพ้หน้าฝน

    • อยู่ในที่ร่ม: ในช่วงที่ฝนตก สารก่อภูมิแพ้จะพบได้บ่อยในที่กลางแจ้ง การอยู่ในที่ร่มสามารถลดการสัมผัสได้
    • รักษาพื้นที่ที่สะอาดและมีอากาศถ่ายเท: ทำความสะอาดและระบายอากาศในบริเวณที่อยู่อาศัยของคุณเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของสารก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะเชื้อราและไรฝุ่น พิจารณาใช้เครื่องลดความชื้นหากจำเป็น
    • ทำความสะอาดบ้าน: ทำความสะอาดและปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ พรม และผ้าม่านเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของสารก่อภูมิแพ้
    • หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่อับชื้น: เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราโดยการไม่แขวนเสื้อผ้าเปียกในร่ม
    • ใช้เครื่องฟอกอากาศ: ใช้เครื่องฟอกอากาศหรือตัวกรองเพื่อลดสารก่อภูมิแพ้
    • ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี: ล้างมือและหน้าเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากออกไปกลางแจ้ง
    • สวมหน้ากากอนามัย: เมื่ออยู่กลางแจ้ง ให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อลดการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้
    • ล้างจมูก: ใช้น้ำเกลือล้างจมูกเพื่อชะล้างสารก่อภูมิแพ้และบรรเทาอาการคัดจมูก
    • ดื่มชาสมุนไพร: เช่น ชาคาโมมายล์หรือขิงที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบเพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้
    • เพิ่มภูมิคุ้มกัน: รับวิตามินเสริมจากธรรมชาติเช่น Quercetin เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายและป้องกันอาการแพ้

    หากปฏิบัติตามการดูแลตนเองเหล่านี้ คุณจะสามารถจัดการกับโรคภูมิแพ้ในฤดูฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้ชีวิตแบบปกติกับฤดูฝนพร้อมป้องกันอาการภูมิแพ้หน้าฝนได้ค่ะ

  • การล้างพิษ ร่างกายในชีวิตประจำวัน

    การล้างพิษ ร่างกายในชีวิตประจำวัน

    การล้างพิษ เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยคืนความสดใสและความมีชีวิตชีวาให้กับร่างกายตั้งแต่การรับประทานอาหารไปจนถึงการฝึกสติ เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณจากภายในสู่ภายนอก

    • ล้างไขมันในลำไส้ : การเลือกอาหารในช่วงเช้าช่วยกระบวน การล้างพิษ ได้ดีด้วยโยเกิร์ตธรรมดา นมสด กาแฟ ชาน้ำผึ้ง และน้ำมะนาว ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทรงพลังของวิตามินบีและซีที่สนับสนุนการทำงานของสมองและช่วยในการย่อยน้ำมันพืช
    • ผักและผลไม้ดีท็อกซ์ : เลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง น้ำตาลต่ำ เช่น ส้มฝรั่งเศสและมะเขือเทศสีชมพู พร้อมเสริมกระบวนการดีท็อกซ์ด้วยน้ำมะนาวอุ่นๆ สิ่งนี้ช่วยในการล้างสารพิษที่ตับปล่อยออกมาและส่งเสริมการย่อยอาหารที่ดี
    • กำหนดการรับแคลลอรี่ในหนึ่งวัน : ให้ร่างกายของคุณขับสารพิษที่อาจเกิดขึ้นโดยจำกัดปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคไม่เกิน 800 กิโลแคลอรีในหนึ่งวัน ให้ระบบย่อยอาหารและตับของคุณได้พัก และเริ่มต้นกระบวนการดีท็อกซ์ทุกเช้าด้วยน้ำผสมเกลือ
    • กลยุทธ์ดีท็อกซ์สองมื้อ: รับประทานอาหารเช้าและอาหารกลางวันตามปกติ และเลือกรับประทานอาหารเย็นที่มีผลไม้เป็นหลักและมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อสนับสนุนการล้างพิษตามธรรมชาติของร่างกาย

     

     

    • เพิ่มความชุ่มชื่นให้ร่างกายด้วยการดื่มน้ำ : ดื่มน้ำเปล่าและชาสมุนไพรอุ่นๆ ตลอดทั้งวัน การให้น้ำที่เพียงพอช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การล้างพิษด้วยผัก: ทำเครื่องดื่มดีท็อกซ์จากน้ำผักง่าย เช่น ใช้หัวหอม ใบฝรั่ง กลีบกระเทียม และก้านขึ้นฉ่ายฝรั่ง ต้มและเคี่ยวส่วนผสมเพื่อสร้างเครื่องดื่มล้างพิษ
    • ดื่มชาสมุนไพร: ยามบ่ายดื่มชาสมุนไพรที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ชาเขียว ชาแดนดิไลออน และชาเปปเปอร์มินต์  ชาเหล่านี้ช่วยในการกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายและสนับสนุนการย่อยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
    • ทำสมาธิ: ลดความเครียดเพื่อสนับสนุนการล้างพิษในร่างกาย ด้วยการฝึกหายใจลึกๆ และทำสมาธิเป็นประจำ จิตใจที่สงบช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

     

    • แปรงฟันแบบแห้ง: การแปรงฟันแบบแห้งเหมือนกับขั้นตอนการดูแลผิว เพื่อผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการไหลเวียน และส่งเสริมการทำงานของระบบน้ำเหลือง ช่วยในการกำจัดสารพิษ
    • อบซาวน่า: การอบซาวน่าเป็นประจำช่วยให้การล้างพิษดีขึ้นโดยการส่งเสริมการขับเหงื่อ ซึ่งช่วยในการกำจัดสารพิษผ่านทางผิวหนัง
    • การนอนหลับที่เพียงพอ: ควรนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืนเพื่อสนับสนุนกระบวนการดีท็อกซ์และซ่อมแซมตามธรรมชาติของร่างกาย
    • เพิ่มโปรไบโอติกในอาหาร: รักษาสุขภาพของลำไส้ด้วยอาหารที่อุดมด้วยโปรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กะหล่ำปลีดอง กิมจิ เพื่อช่วยในการย่อยอาหารและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    • ลดการสัมผัสกับสารพิษในสิ่งแวดล้อม: ลดการสัมผัสกับสารพิษในสิ่งแวดล้อมโดยหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ใช้ผลิตผลออร์แกนิก และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ
    • ขับเหงื่อออกด้วยการออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและส่งเสริมการขับสารพิษออกทางเหงื่อ
    • การเคี้ยวอย่างละเอียด: การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อช่วยในการย่อยอาหารและป้องกันการกินมากเกินไป
    • ละชีวิตจากโซเชียลมีเดีย: พักสมองจากหน้าจอดิจิตอลและลดความเครียดด้วยการพักจากโซเชียลมีเดีย ช่วยให้สมองไม่เครียด 
  • ทำไมต้องล้างพิษตับ Liver Detox

    ทำไมต้องล้างพิษตับ Liver Detox

    ทำไมต้องล้างพิษตับ

    ทำไมต้องล้างพิษตับ ทุกท่านน่าจะเคยได้ยินว่าการ ล้างพิษตับ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากช่วยลดสารพิษสะสมในร่างกายอันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายๆอย่าง แต่ทุกท่านทราบไหมว่า การล้างพิษตับนั้นนอกจากจะช่วยลดสารพิษสะสมแล้ว ยังมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของตับซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย และช่วยตับให้ทำหน้าที่สำคัญในการดำรงชีวิตของเราได้เต็มประสิทธิภาพ หน้าที่สำคัญของตับมีอะไรบ้าง มาฟังกันค่ะ

    1. หน้าที่สร้างน้ำดีอันเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมระดับไขมันในเลือด  ตับของคนเรามีการสร้างน้ำดีที่นอกจากจะช่วยในการย่อยไขมันแล้ว ยังเป็นแหล่งแปรรูปและขับโคเลสเตอรอลออกจากร่างกายเป็นปริมาณมากถึง 1 ลิตรต่อวัน และกลไกการขับโคเลสเตอรอลออกทางน้ำดีนี้ ถือว่าเป็นกลไกหลักที่ร่างกายใช้ในการกำจัดโคเลสเตอรอลส่วนเกินอันเป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อนในระบบหัวใจและหลอดเลือด หากตับของเราถูกทำลาย ไม่ว่าจะจากสารพิษ หรือการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจนทำให้ไขมันพอกตับ เซลล์ตับก็จะเกิดการบวม การสร้างและกำจัดโคเลสเตอรอลออกทางน้ำดีลดลง ก็จะมีส่วนทำให้ปริมาณไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น
    2. หน้าที่เปรียบเสมือนแบตเตอรีของร่างกาย ตับเป็นเก็บและแหล่งสร้างพลังงานที่สำคัญที่สุดของร่างกาย  อาหารที่เรารับประทานเข้าไปหลังจากผ่านกระบวนการย่อยสลาย นำไปใช้ ส่วนที่เหลือจะถูกสะสมไว้เป็นแหล่งพลังงานเผื่อเรียกใช้ที่เซลล์ตับ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรองเวลาที่เราไม่ได้รับประทานอาหาร เช่น ตอนนอนกลางคืน หรือช่วงอดอาหาร เนื่องจากเซลลทุกเซลล์ กระบวนการทุกอย่างในร่างกายแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาพักผ่อนล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น และพลังงานเหล่านี้ก็มาจากตับนั่นเอง หากตับของเรามีการอักเสบ บวม กระบวนการผลิตพลังงานก็จะทำงานได้ลดลง ส่งผลให้เรารู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆก็คือ หลังจากที่เราดื่มหนักๆ วันถัดมาเรามักจะรู้สึกเพลียและโหย เนื่องมาจากสารพิษจากแอลกอฮอล์สะสม ทำให้หน้าที่ในการสร้างและปลดปล่อยพลังงานของตับลดลงนั่นเอง
    3. ตับเป็นบ้านของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตับมีหน้าที่สร้างสารโปรตีนหลายชนิดที่จำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย และยังเป็นแหล่งอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายของเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกันที่ชื่อ Macrophage  ที่ทำหน้าที่คอยช่วยดักจับและทำลายเชื้อโรคที่ผ่านเข้ามาจากทางเดินอาหารหรือกระแสเลือดไม่ให้ลุกลามเข้าสู่ร่างกาย หากปราศจากเซลล์เหล่านี้ เราก็จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในทางเดินอาหารหรือติดเชื้อลุกลามในกระแสเลือดมากขึ้น
    4. สุดท้ายคือ หน้าที่ในการควบคุมสมดุลของระบบฮอร์โมนในร่างกาย ตับทำหน้าที่กำจัดฮอร์โมนเพศ และฮอร์โมนที่มำหน้าที่ควบคุมปริมาณของน้ำในร่างกาย หากหน้าที่การทำงานเหล่านี้บกพร่องไปจากการที่มีสารพิษสะสมทำลายเซลล์ตับ การกำจัดฮอร์โมนเหล่านี้ก็จะทำงานได้ช้าลง เกิดการคั่งค้างของฮอร์โมนในร่างกายทำให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น บวมน้ำ อารมณ์หงุดหงิดง่าย ประจำเดือนมาผิดปกติ และเพิ่มความเสียงของการเกิดมะเร็ง

    การล้างพิษตับด้วยการให้สารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุที่ตับจำเป็นต้องใช้ในกระบวนการแปรรูปและกำจัดของเสียไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการรับประทาน หรือการให้ทางหลอดเลือดดำที่เรียกว่า IV therapy จะช่วยลดโอกาสในการเกิดสารพิษคั่งค้างและทำลายเซลล์ตับ ทำให้ตับที่เป็นอวัยวะสำคัญของเราสามารถทำหน้าที่ต่างๆได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีพลังงานที่เต็มเปี่ยมในทุกๆวัน

  • วิธีแก้ท้องผูก

    วิธีแก้ท้องผูก

    วิธีแก้ท้องผูก


    ทุกคนจะรู้สึกยังไงถ้าถ่ายไม่ออกมาราวๆ 3-4 วัน? หลายคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกอึดอัด ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว นอนไม่หลับ เครียดง่าย กินอะไรไม่ค่อยลง แถมลมหายใจก็เริ่มมีกลิ่น ซึ่งอาการเหล่านี้มีสาเหตุมาจากปัญหาท้องผูกหรือการขับถ่ายที่ผิดปกตินั่นเอง วันนี้ไฮโดรเฮลท์เลยจะมาแบ่งปันวิธีแก้ท้องผูกง่ายๆ เพื่อบรรเทาท้องผูกด้วยวิธีธรรมชาติ ช่วยให้ทุกคนรู้สึกโล่งและสบายท้องมากกว่าเดิมแน่นอน

    อาการท้องผูก มีสาเหตุมาจากอะไร?

    ท้องผูก ถ่ายไม่ออก

    อาการท้องผูก คือ อาการที่เราไม่สามารถขับถ่ายได้ตามปกติ เช่น ถ่ายไม่ออกมามากกว่า 3-4 วัน หรือบางคนอาจเป็นสัปดาห์ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่ไม่มีกากใยหรือไฟเบอร์ เช่น เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป รวมถึงการดื่มน้ำน้อยเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังกาย เครียดสะสม หรือแม้แต่การกลั้นอุจจาระบ่อยเกินไป ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก อุจจาระแข็ง และมีขนาดใหญ่ จนขับถ่ายออกมายาก ซึ่งเมื่อขับถ่ายออกมาก็มักจะเกิดเป็นแผลบริเวณรูทวาร ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงเป็นริดสีดวงหรือติดเชื้อที่บริเวณแผล

    วิธีแก้ท้องผูกด้วยวิธีธรรมชาติ

    1. รับประทานอาหารที่มีกากใยไฟเบอร์สูง

    อาหารมีไฟเบอร์

    ไฟเบอร์ช่วยแก้อาการท้องผูกได้ โดยจะช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย เพื่อทำให้อุจจาระที่แข็งนุ่มลงได้ ช่วยให้ขับถ่ายออกมาง่ายขึ้น ไม่เกิดแผลและไม่รู้สึกเจ็บเวลาขับถ่าย ซึ่งอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ได้แก่ ผักใบเขียว ผักบุ้ง ผักโขม กะหล่ำปลี แครอท หรือมะละกอสุก

    2. รับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกส์

    โพรไบโอติกส์

     

    โพรไบโอติกส์ช่วยแก้บรรเทาอาการท้องผูกได้ เพราะโพรไบโอติกส์คือสิ่งมีชีวิตที่จะช่วยปรับสมดุลการทำงานของระบบย่อยอาหารและลำไส้ ทำให้กลับมาขับถ่ายอย่างเป็นปกติได้ อาหารที่มีโพรไบโอติกส์สูงได้แก่ กิมจิ มิโซะ ถั่วนัตโตะ นมเปรี้ยว และโยเกิร์ต เป็นต้น

    3. ออกกำลังกาย

    ออกกำลังกาย

    การขยับร่างกายไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการออกกำลังกายยังสามารถช่วยแก้อาการท้องผูกได้อีกด้วย โดยการเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและลำไส้ เพื่อทำให้ขับอุจจาระออกมานั่นเอง

    4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

    ดื่มน้ำ

    น้ำเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถช่วยแก้อาการท้องผูก ถ่ายไม่ออกได้ โดยการเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาการ พร้อมช่วยทำให้อุจจาระนิ่มลง และกระตุ้นให้ลำไส้เกิดการบีบตัว ซึ่งทุกคนควรดื่มน้ำให้เป็นเวลา เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอนให้ดื่มน้ำก่อนทานอาหารเช้าอย่างน้อย 1 แก้ว และไม่ลืมที่จะกระจายการดื่มน้ำให้สม่ำเสมอตลอดทั้งวัน

    อาหารที่ช่วยแก้ท้องผูกได้อยู่หมัด

    อาหารที่ช่วยแก้อาการท้องผูก บรรเทาท้องผูกมีอยู่มากมาย เรามาดูกันแบบละเอียดๆ ดีกว่าว่าถ้าอยากกระตุ้นการทำงานของลำไส้ หรืออยากแก้ท้องผูกแบบเร่งด่วน จะต้องทานอะไรบ้าง?

    1. ผักใบเขียว

    ผักใบเขียว

    อย่างเช่น ผักบุ้ง ผักคะน้า ผักโขม หรือผักกวางตุ้ง ที่อยู่ในเมนูอาหารต่างๆ เพราะผักเหล่านี้เป็นผักที่มีใยอาหารสูง ช่วยทำให้อุจจาระนิ่มลงได้ พร้อมช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นอีกด้วย

    2. ผลไม้

    ต้องเลือกทานผลไม้ที่มีกากใยสูง เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย และทำให้อุจจาระนิ่มลง อย่างเช่น มะละกอสุก ฝรั่ง กล้วย หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นต้น

    3. ธัญพืช

    เป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาหารที่เต็มไปด้วยกากใย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้เห็นผลในทันที ซึ่งธัญพืชที่ควรทานเมื่อมีอาการท้องผูก ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต หรือธัญพืชรวม เป็นต้น

    4. เมล็ดเจีย

    เมล็ดเจีย

    เป็นอาหารอีกชนิดที่มีกากใยสูง นอกจากจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้แล้ว เมล็ดเจียยังเป็นส่วนผสมยอดฮิตที่ถูกใส่ในเมนูดีท็อกซ์ร่างกายอีกด้วย วิธีทานสามารถทานได้ทั้งแบบแห้งและแบบแช่น้ำ โดยการโรยบนสลัด ขนมปัง โยเกิร์ต หรือนำไปแช่ในน้ำดื่ม น้ำผลไม้ นม หรือน้ำเต้าหู้ แล้วทิ้งไว้ 15-30 นาที จนเมล็ดเจียพองตัว ก็สามารถทานได้

    5. โยเกิร์ต

    อาหารที่มีโพรไบโอติกส์และสามารถหาทานได้ง่าย คือ โยเกิร์ต ซึ่งจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้โดยการที่จุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจะเข้าไปส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ช่วยปรับการขับถ่ายให้กลับมาเป็นปกติได้

    วิธีแก้ท้องผูกเรื้อรัง ต้องใช้วิธีเหล่านี้

    ดีท็อกลำไส้
    ภาพ: ดีท็อกลำไส้

    หากมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ไม่ได้ขับถ่ายมานาน หรือขับถ่ายบ้างแต่ไม่บ่อย จะต้องแก้ไขด้วยวิธีเหล่านี้

    1. เลือกทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย

    ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อย่าง Bowel Balanze Day ที่มีวิตามิน ไฟเบอร์ โพรไบโอติกส์ และพรีไบโอติกส์ ที่นับว่าเป็นตัวช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและแก้ท้องผูกได้ดี

    2. พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาและขอคำแนะนำ

    โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจะทำการสวนล้างลำไส้ เพื่อขับของเสียที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายออก พร้อมให้คำแนะนำเรื่องการทานอาหาร การออกกำลังกาย เพื่อช่วยรักษา บรรเทาท้องผูก และบอกลาอาการท้องผูกได้อย่างยั่งยืน อย่างการเข้ามาปรึกษาและขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ไฮโดรเฮลท์ ซึ่งมีบริการสวนล้างลำไส้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

    เพราะวิธีแก้ท้องผูกที่ดีจะต้องปรับที่ต้นเหตุ อย่างการทานอาหาร รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชิวิต และสำหรับคนที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ สามารถค่อยๆ ปรับพฤติกรรมตามคำแนะนำที่เราบอกไว้ข้างต้น เพื่อเสริมสร้างระบบลำไส้ที่ดี

    แต่หากใครต้องแก้ปัญหาท้องผูกอย่างเร่งด่วน สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญเรื่องการดีท็อกซ์ลำไส้ได้ อย่างบริการดีท็อกซ์ลำไส้ สวนล้างลำไส้ใหญ่ (Colon Hydrotherapy) จาก Hydrohealth ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยปรับระบบการทำงานของลำไส้ พร้อมขับของเสียออก เพื่อแก้อาการท้องผูกได้อย่างเร่งด่วน

  • อยากสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้องทำตามเทคนิคนี้!

    อยากสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้องทำตามเทคนิคนี้!

    ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเกิดจาก อวัยวะภายในและเซลล์ต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการสร้างสังคมของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า Microbiome เช่น แบคทีเรียดีและจุลินทรีย์ดี เป็นต้น ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค รวมถึงสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่ส่งผลกระทบให้ร่างกายเจ็บป่วย ดังนั้น วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย จะต้องเริ่มจากการเสริมสร้างระบบอวัยวะภายใน เพื่อทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายให้แข็งแรงนั่นเอง

    วิธีสังเกตตัวเองว่าช่วงนี้ภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติหรือไม่

    ป่วยง่าย

    หากเราใช้ชีวิตแบบเต็มที่จนลืมดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะนอนดึก ทำงานหนัก เครียด หรือรับประทานแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายตก ซึ่งจะทราบได้ยังไงว่า ช่วงนี้เรากำลังเผชิญปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำอยู่ สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ผ่าน 5 อาการเหล่านี้

    1. รู้สึกเหนื่อยง่ายตลอดเวลา
    2. เป็นหวัดและไม่สบายบ่อย
    3. มีน้ำมูกและเป็นภูมิแพ้บ่อยขึ้น
    4. ท้องเสียหรือมีอาการแพ้อาหาร
    5. มีอาการของโรคผิวหนังอักเสบบ่อยหรือเป็นเชื้อราตามผิวหนังง่าย

    วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง

    จากการศึกษาพบว่าสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนมากจะมาจากกิจวัตรประจำวันและการใช้ชีวิตของเราเองทั้งนั้น ดังนั้น วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย จะต้องเริ่มที่การปรับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีนั่นเอง

    1. ทานวิตามินช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

    อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน

    อาหารที่มีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ส่วนมากมักจะหนีไม่พ้น อาหารประเภทผักและผลไม้สด ที่ทุกคนควรทานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ซิงค์และวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งการทานผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ยังช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร เพราะเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของ Microbiome หรือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่ดี

    2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    ออกกำลังกาย

    จากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองได้ดีขึ้น ดังนั้น หากต้องการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เราจึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ต่างๆ โดยอาจจะเริ่มจากการเดินหรือการวิ่งแบบง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้มากขึ้นแล้ว

    3. นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 7 ชม.

    นอนหลับ

    เมื่อเรานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ถูกทำลายลง และร่างกายจะได้รับการซ่อมแซมแบบไม่สมบูรณ์ ซึ่งส่งผลต่อเซลล์และระบบต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้น ทุกคนจึงควรนอนให้ครบ 7 ชม. ต่อวัน เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

    4. เข้ารับวัคซีนที่จำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกัน

    ฉีดวัคซีน

    เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคบางชนิด ทุกคนจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน เพื่อให้แอนติบอดี้ในร่างกายของเราเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดนั้นๆ ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากในการบรรเทาอาการเจ็บป่วย แต่การรับวัคซีนในแต่ละครั้งจำเป็นต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์เท่านั้น

    การสร้างภูมิคุ้มกันในเด็ก

    เด็กป่วยง่าย

    ในฐานะผู้ปกครองนอกจากจะต้องดูแลตัวเองแล้ว ยังต้องคอยเป็นห่วงลูกๆ อีกด้วย เนื่องจากเด็กเล็กมีระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ด้วยร่างกายที่ยังไม่พัฒนาและเจริญเติบโตเต็มที่ ผู้ปกครองจึงต้องหมั่นสร้างกิจวัตรประจำวัน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในเด็ก แต่จะต้องเลือกกิจกรรมที่น่าสนใจและทำได้ง่าย เพื่อช่วยให้ลูกๆ สนุกสนานไปกับกิจวัตรเหล่านั้น

    เทคนิคเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย

    1. ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

    กินผัก

    เริ่มต้นด้วยการลดอาหารจำพวกน้ำตาล ไขมัน และแป้ง ที่มีจำนวนมากเกินไป เพื่อปรับมาเป็นอาหารที่ทำจากผักหรือผลไม้สดแทน รวมถึงของทานเล่นของเด็กๆ ก็ควรเลือกสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือธัญพืช เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อยได้นั่นเอง

    2. นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่

    นอนหลับ

    วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของลูกน้อยอีกวิธีหนึ่ง คือ การนอนหลับพักผ่อน ซึ่งสำหรับเด็กเล็กการนอนหลับที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพนั้นจะแตกต่างกันตามช่วงอายุ อย่างเช่น เด็กทารกที่ควรพักผ่อนราวๆ 12-16 ชม. แต่สำหรับเด็กโตควรพักผ่อนอย่างน้อย 10 ชม. เป็นต้นไป

    3. เข้าร่วมกิจกรรมที่สนุกและมีประโยชน์

    การเล่นของเด็ก
    ภาพ: การเล่นของเด็ก

    กิจกรรมต่างๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เด็กเล็กเจริญเติบโตได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเด็กๆ ซึ่งกิจกรรมที่เหมาะกับเด็กๆ ที่สุด คือ การวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นหรือสวนสาธารณะ เพราะได้ทั้งเรื่องการออกกำลังกายและความสนุกสนานนั่นเอง

    วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายส่วนใหญ่แล้วมักจะเริ่มต้นที่กิจวัตรประจำวันของเราทุกคน ดังนั้น หากเริ่มปรับกิจวัตรของเราให้สอดคล้องและดีต่อสุขภาพ ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเราทีละเล็กทีละน้อย และช่วยป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันต่ำจนเกินไปได้ ซึ่งเราสามารถใช้ตัวช่วยดีๆ อย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือบริการทางด้านสุขภาพจากไฮโดรเฮลท์ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน


    อ้างอิง : https://hydrohealth.co.th/

  • โพรไบโอติกส์ (Probiotics) & พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร?

    โพรไบโอติกส์ (Probiotics) & พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร?

    โพรไบโอติกส์ (Probiotics) & พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร?


  • เวชศาสตร์ชะลอวัย:

    เวชศาสตร์ชะลอวัย:

    เวชศาสตร์ชะลอวัย: ศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในปี 2025


     

              เวชศาสตร์ชะลอวัยได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของผู้คนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในปี 2025 ที่วิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด การรักษาแนวนี้ไม่ใช่เพียงการ “หยุดความแก่” แต่เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อชะลอการเสื่อมของร่างกายและเพิ่มคุณภาพชีวิต

             เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ (Anti-Aging and Regenerative Medicine) เป็นศาสตร์ทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยผสมผสานความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ากับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เพียงการ “ต่อต้านความแก่” แต่เป็นการชะลอกระบวนการเสื่อมถอยของร่างกายในระดับเซลล์ ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูระบบต่างๆ ในร่างกายที่เสื่อมสภาพให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ศาสตร์แขนงนี้มีเป้าหมายสูงสุดคือการเพิ่มช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี (Healthy Life Span) ให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ มีพลังกาย พลังใจที่สมบูรณ์ แม้ในวัยที่สูงขึ้น โดยไม่ได้เน้นเพียงการรักษาอาการของโรคเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แต่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและชะลอการเกิดโรคต่างๆ ที่มักพบในวัยสูงอายุ ผ่านการดูแลสุขภาพอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องตั้งแต่ยังอยู่ในวัยต้น

    แนวทางการรักษาที่ได้รับความนิยมในปี 2025:

    1. การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคล เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับยีนส์ของแต่ละคน
    2. การบำบัดด้วยสารต้านอนุมูลอิสระรุ่นใหม่ ที่มีประสิทธิภาพในการชะลอความเสื่อมของเซลล์
    3. การฟื้นฟูระดับฮอร์โมนให้สมดุล ด้วยวิธีธรรมชาติและการรักษาทางการแพทย์
    4. โปรแกรมโภชนาการเฉพาะบุคคล ที่ออกแบบตามผลการตรวจวิเคราะห์ร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิต

    นวัตกรรมล่าสุดในวงการเวชศาสตร์ชะลอวัย:

    • การใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ
    • การรักษาด้วยเปปไทด์และโกรทแฟคเตอร์
    • การใช้ AI วิเคราะห์สุขภาพและวางแผนการรักษา
    • เทคโนโลยีนาโนในการนำส่งสารอาหารและยา

    ข้อควรพิจารณาก่อนเริ่มการรักษา:

    1. ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรอง
    2. ต้องตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนเริ่มโปรแกรม
    3. การรักษาต้องทำอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
    4. ค่าใช้จ่ายอาจสูง ควรวางแผนการเงินให้เหมาะสม

              หัวใจสำคัญของเวชศาสตร์ชะลอวัยคือการป้องกันและรักษาความเสื่อมของร่างกายตั้งแต่ระดับเซลล์ ด้วยการผสมผสานศาสตร์หลายแขนง ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน โภชนาการ การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด โดยมีการนำเทคโนโลยีล่าสุดมาประยุกต์ใช้การดูแลสุขภาพแบบเวชศาสตร์ชะลอวัยไม่ใช่เพียงการรักษาความอ่อนเยาว์ภายนอก แต่เป็นการดูแลสุขภาพองค์รวมเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ในปี 2025 นี้ เราได้เห็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีทันสมัยกับการดูแลสุขภาพแบบธรรมชาติ ทำให้การชะลอวัยมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด